“หญ้าหวาน” ที่น่าจับตามองเพราะขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจ ที่ถูกนำมาใช้เป็น สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เนื่องจากใบของหญ้าหวานให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 10-15 เท่า แต่ความหวานนี้ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน (0 แคลอรี/กรัม) จึงถือว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์กับสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้นหญ้าหวานยังดีกับโลกด้วย
หญ้าหวาน เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ของประเทศปารากวัยและบราซิล หญ้าชนิดนี้มีความหวานตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้มันกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดการบริโภคน้ำตาลทรายและสารให้ความหวานสังเคราะห์
โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ทำการประเมิน วงจรชีวิตของ “สตีวิออลไกลโคไซด์” (Steviol glycoside) สารให้ความหวานที่สกัดจากหญ้าหวาน ซึ่งพบว่า ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำตาล ทั้งในการลดการใช้ที่ดิน และการใช้น้ำได้เมื่อเทียบกับระดับความหวานที่ผลิตได้ในระดับเดียวกัน
“สารให้ความหวานแทนน้ำตาล” (Non-nutritive sweeteners) เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมา ไม่ได้เกิดจากผลผลิตมาจากธรรมชาติ หรือบางส่วนอาจเกิดขึ้นเองจากพืช เช่น สตีวิออลไกลโคไซด์ สามารถสร้างรสชาติเหมือนน้ำตาลได้ แต่ไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟันผุ โรคอ้วน หรือโรคเบาหวาน
สารเหล่านี้สามารถให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลหลายเท่า ตัวอย่างเช่น สตีวิออลไกลโคไซด์ 4 กรัมให้ความหวานเทียบเท่ากับน้ำตาล 1,000 กรัม นั่นแปลว่าหวานกว่า 250 เท่า
และที่น่าสนใจในการรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกของเราโอยอ้างอิงจากงานวิจัยของ ดร.เจมส์ ซัคคลิง หัวหน้าคณะผู้จัดทำผลการศึกษาวิจัยในศูนย์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ กล่าวว่า การใช้สตีวิออลไกลโคไซด์ และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่คล้ายกันอาจ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้
พืชที่นำไปผลิตเป็นน้ำตาล ทั้งอ้อย และบีตรูตเป็นพืชที่ใช้น้ำ และพื้นที่ในการเพาะปลูกจำนวนมาก โดยเฉพาะอ้อยที่เป็นพืชทางการเกษตรที่ผลิตมากที่สุดในโลก โดยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 15% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ตามรายงานของ Spoonshot ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ได้ พบว่า ปริมาณการใช้น้ำเฉลี่ยทั่วโลกสำหรับการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัมจากอ้อยอยู่ที่ประมาณ 1,782 ลิตร สำหรับน้ำตาลที่ได้จากหัวบีตรูต ต้องใช้น้ำประมาณ 920 ลิตร
นอกจากนี้ การถางป่าเพื่อเพิ่มผลผลิตส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่นเดียวกับปัจจัยการผลิตปุ๋ย และยาฆ่าแมลง สารเคมีเหล่านี้มีผลกระทบเชิงลบต่อดิน น้ำใต้ดิน และแหล่งน้ำดื่ม รวมไปถึงการเผาไร่อ้อยที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ
แนวทางลดการใช้สารเคมี: การปลูกหญ้าหวานไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีมาก แต่สามารถหันมาใช้กลุ่มสารที่ได้จากธรรมชาติแทน เช่น หินแร่ภูเขาไฟ สารชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชได้ ซึ่งจะช่วยลดการปนเปื้อนของดินและน้ำได้อีกด้วย
แนวทางการเตรียมพื้นที่ดินปลูกเบื้องต้น: แนะนำให้ใช้ ภูไมท์ ซัลเฟต (เหลือง) อัตราการใช้ 20 กิโลกรัม ต่อ พื้นที่ 1 ไร่ หว่านหรือใช้วิธีการรองก้นหลุมก่อนปลูกก็ได้และใช้อินดิวเซอร์(เชื้อไตรโคเดอร์ม่า) อัตราการใช้ 50 กรัม ต่อ น้ำ 20 ลิตร จะใช้ผสมกับดินหรือฉีดพ่นก็ได้
คำแนะนำในการใช้สารชีวภัณฑ์ : อินดิวเซอร์ (เชื้อไตรโคเดอร์ม่า) ควรใช้ช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็นที่แสงแดดรำไร
อย่างไรก็ตาม หากตัดองค์ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศออกไป ศักยภาพในการทำให้โลกร้อนจะลดลง 18.8% เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำตาลโดยพิจารณาจากความหวานที่เทียบเท่ากัน RA60 มีผลกระทบต่อศักยภาพในการทำให้โลกร้อนเพียง 5.7-10.2% มีผลกระทบต่อการใช้ที่ดินประมาณ 5.6- 7.2% และต่ำกว่าในหมวดหมู่ผลกระทบอื่นๆ ส่วนใหญ่
หญ้าหวานจึงเป็นทางเลือกที่ดีทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยคุณสมบัติที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยต่อผู้บริโภค มันช่วยลดการพึ่งพาน้ำตาลทรายและสารให้ความหวานสังเคราะห์ รวมถึงช่วยส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การเลือกใช้หญ้าหวานในชีวิตประจำวันจึงเป็นวิธีที่ดีในการดูแลสุขภาพของเราและโลกของเราในระยะยาว
บทความโดย นางสาวคนึงนิจ หอมหวล
ตำแหน่งฝ่ายวิชาการบริษัทไทยกรีนอะโกร (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line@ ID : Thaigreenagro
Facebook : บริษัท ไทยกรีนอะโกร
Website : www.thaigreenagro.co.th
TikTok : Thaigreenagro

