ในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงการปลูกต้นไม้ 10,000 ล้านต้นของประเทศซาอุดิอาระเบียภายใต้ "Saudi Green Initiative" ถือเป็นความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ที่มุ่งเพิ่มพื้นที่สีเขียว ฟื้นฟูระบบนิเวศ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการนี้ไม่เพียงมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสมากมายให้กับคนไทยในหลากหลายด้าน ตั้งแต่การส่งออกสินค้าเกษตรไปจนถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียว
1. โอกาสด้านการส่งออกต้นไม้และพืชพันธุ์ซาอุดิอาระเบียมีความต้องการต้นไม้จำนวนมหาศาลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลูก
10,000 ล้านต้นในระยะยาว ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเพาะพันธุ์พืชและส่งออกต้นไม้ มีศักยภาพในการตอบสนองความต้องการดังกล่าว ปัจจุบัน ประเทศไทยได้เริ่มส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุดิอาระเบียแล้วกว่า 200,000 ต้น เช่น พันธุ์ไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศร้อน เช่น ต้นปาล์ม ต้นอินทผลัม และพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ทะเลทรายโอกาสในการบูรณาการไปยังด้านอื่นยังมีอีก เช่น
⁃ การเพาะพันธุ์ต้นไม้ตามความต้องการเฉพาะของซาอุดิอาระเบีย
เช่น ไม้พุ่มหรือไม้ดอกที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมทะเลทราย
⁃ การพัฒนาธุรกิจร่วมกับพันธมิตรในซาอุดิอาระเบีย เช่น การจัดตั้งโรงเพาะชำต้นไม้ในพื้นที่
2. การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเกษตรที่สามารถนำไปปรับใช้ในโครงการของซาอุดิอาระเบีย เช่น
⁃ ระบบการชลประทานแบบน้ำหยด
(Drip Irrigation) ที่ช่วยลดการใช้น้ำในพื้นที่แห้งแล้ง
⁃ เทคโนโลยีการปลูกพืชในสภาพอากาศร้อนจัด เช่น การใช้วัสดุปลูกที่กักเก็บความชื้น
⁃ นวัตกรรมการใช้ปุ๋ยและฮอร์โมนพืชเพื่อเร่งการเจริญเติบโต
บริษัทและผู้ประกอบการไทยสามารถเสนอบริการให้คำปรึกษา การติดตั้งระบบ และการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรเหล่านี้แก่ซาอุดิอาระเบียได้
3. โอกาสด้านแรงงานผู้เชี่ยวชาญ การปลูกและดูแลต้นไม้จำนวนมากจำเป็นต้องอาศัยแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการจัดการพื้นที่สีเขียว ประเทศไทยสามารถส่งแรงงานผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักวิชาการเกษตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลต้นไม้ และผู้จัดการโครงการไปช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ได้ เช่น
⁃ การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมแรงงานไทยเฉพาะด้านที่สอดคล้องกับความต้องการของซาอุดิอาระเบีย
⁃ การจัดตั้งความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและซาอุดิอาระเบียในการวิจัยและพัฒนาการปลูกต้นไม้ในสภาพอากาศร้อน
4. ความร่วมมือด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงการ Saudi Green Initiative ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การปลูกต้นไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบียในด้านนี้อาจครอบคลุม เช่น
⁃ การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน
เช่น โซลาร์เซลล์หรือพลังงานลม
⁃ การออกแบบและพัฒนาภูมิทัศน์สีเขียวในเมือง
⁃ การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
5. การสร้างความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นขึ้น โครงการปลูกต้นไม้ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการขยายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังฟื้นฟูและพัฒนา โครงการนี้สามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทยในหลายอุตสาหกรรม
โครงการปลูกต้นไม้10,000ล้านต้นของซาอุดิอาระเบียเป็นโครงการที่ไม่เพียงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่การส่งออกต้นไม้และเทคโนโลยี การพัฒนาแรงงาน ไปจนถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน หากประเทศไทยสามารถวางกลยุทธ์และสร้างความร่วมมือที่เหมาะสม โครงการนี้จะไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ดร.มนตรี บุญจรัส
ประธานกรรมการ
บริษัท ไทยกรีนอะโกร จำกัด
ประธานชมรมเกษตรปลอดสารพิษแห่งประเทศไทย