ใกล้จะถึงหน้าหนาวของประเทศไทยแล้วนะคะช่วงกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตจะเข้าสู่หน้าหนาว เกษตรกรหรือชาวสวนส่วนใหญ่จะเริ่มหันมาทำการเพาะปลูกพืชผักเนื่องจากในช่วงหน้าหนาวนั้นพืชผักจะงอกงามได้เป็นย่างดี และปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าอากาศในช่วงหน้าหนาวนั้นเป็นอากาศที่คนส่วนใหญ่ชอบกันเนื่องมีลมเย็น มีหมอกในช่วงเช้า แต่รู้หรือไม่อากาศเหล่านี้นั้นอาจเป็นตัวส่งเสริมให้พืชนั้นเกิดโรคต่างๆตามมา เนื่องจากการมีหมอกน้ำค้าง การที่แดดแรงในช่วงกลางวัน หนาวในช่วงกลางคืน อาจทำให้พืชนั้นปรับตัวตามสภาพอากาศไม่ทัน จึงทำให้ผลผลิตน้อย พืชโตข้า หรือ การเกิดโรคระบาดในพืช ได้แก่ 1. โรคราน้ำค้าง 2. โรคราแป้ง 3. โรคใบจุดสีม่วง 4. โรคราสนิม 5. โรคเน่าคอดิน 6. โรครากเน่าโคนเน่า โดยโรคต่างๆเหล่านี้จะมีลักษณะอาการและการดูแลที่แตกต่างกันดังนี้
1. โรคราน้ำค้าง : สามารถพบได้ทั่วไปตามแหล่งปลูกผักที่มีความชื้นสูง สามารถเสียหายได้ทั้ง ใบ ผล กิ่ง ทำให้ต้นอ่อนแอและแคระแกรน ส่วนมากจะเจออยู่ในตระกูลพืชผักและ ตระกูลแตง โดยลักษณะของโรคนี้คือ เกิดจากเชื้อรา Pseudoperonospora cubensis สามารถเจอได้ในทุกระยะของพืช โดยอาการเริ่มแรกจะเกิดอยู่บริเวณใบล่างโดยจะมีแผลฉ่ำน้ำแล้วแผลจะลุกลามซึ่งลักษณะของแผลเป็นแผลเหลี่ยมสีเหลือง หากในช่วงเช้าที่มีความชื้นจะสังเกตเห็นเส้นใยของเชื้อรา และเมื่อแผลมีการขยายขนาดสีแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทาดำ หากมีอาการรุนแรงจะทำให้ใบเหลืองและแห้งตายทั้งต้น
2. โรคราแป้ง : จะพบอาการได้ที่ใบล่างจากนั้นจะลามขึ้นไปใบบน โดยเกิดจากเชื้อรา Oidium heveae Steinm. ซึ่งสามารถสังเกตอาการจากที่ผิวใบจะมีเส้นใยชองเชื้อราคล้ายแป้ง ปกคลุมทั่วหลังใบ ใบจะเริ่มมีอาการแห้ง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและทำให้ใบแห้งตายในที่สุด
3. โรคใบจุดสีม่วง : เกิดจากเชื้อรา Alternaria porri มักพบอาการที่ใบบนเป็นจุดสีเทาขนาดเล็กและจะขยายใหญ่เป็นวงรีสีน้ำตาล แผลมีสีม่วงหรือน้ำตาลอมม่วง ตรงกลางแผลมีสีขาว ช่วงที่มีอากาศชื้นจะพบสปอร์ผงสีดำของเชื้อรา เมื่อเกิดหลายแผลจะส่งผงให้ใบแห้ง ต้นโทรม
4. โรคราสนิม : จะพบอาการได้บน ใบ กิ่ง ลำต้น ส่วนมากจะพบบนใบในครั้งแรกที่สังเกตเห็น โดยเกิดจากเชื้อรา Phakopsora pachyrhizi Sydow ใต้ใบนั้นจะมีจุดน้ำตาลเทาเล็กๆ โดยจะเริ่มจากใบล่าง จุดจะเริ่มนูนขึ้น ผงมีสีน้ำตาลคล้ายสีสนิมเหล็ก จะเห็นได้ชัดเจนด้านใต้ใบ เมื่อลูบผงเหล่านี้จะติดมือมา
จาก โรคทั้ง 4 ที่กล่าวมานี้สามารถป้องกันและกำจัดได้โดยใช้ ไบโอเซนเซอร์ (บาซิลัสซัพทิลิส) ซึ่งสามารถกำจัดเชื้อราที่เกิดทางใบได้ โดยใช้ 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมให้เข้ากัน จากนั้นฉีดพ่นให้ทั่วลำต้นและใบให้เปียกชุ่ม และควรฉีดในช่วงเช้าที่มีแดดอ่อนหรือช่วงเย็น และ ไบโอเซนเซอร์สามารถขยายเชื้อได้โดยใช้ 1. นมUHTรสหวาน 1 กล่อง 2. เชื้อไบโอเซนเซอร์ 5 กรัม โดยวิธีการขยายเชื้อ นำเชื้อไบโอเซนเซอร์ใส่ลงในกล่องน,UHTรสหวาน 5 กรัม จากนั้นทำการบ่ม 72 ชั่วโมง และเมื่อครบ 72 ชั่วโมงหากนำมาใช้ให้ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในช่วงเย็น หรือช่วงเช้าแดดอ่อน
5. โรคเน่าคอดิน : เกิดจากเชื้อราทางดินที่มีชื่อว่า Pythium aphanidermatum โรคมักเจอเฉพาะแปลงกล้าเป็นส่วนใหญ่ เมื่อหว่านกล้าในที่แน่นทึบ อับลม และต้นเบียดกันเกินไปการเข้าทำลายพืช หากเกิดในไม้ยืนต้นรากจะเน่าเป็นสีน้ำตาล ในเหนือบริเวณรากเน่ามีอาการซีดเหลือง และแผลอาการเน่าจะฉ่ำน้ำ มีน้ำไหลออกมาจากแผลที่โคนต้น และเมื่อแผลเกิดการลุกลามจะทำให้ใบร่วงหมดต้นและยืนต้นตายในที่สุด
6. โรครากเน่าโคนเน่า : เกิดจากเชื้อรา Phytophthora ซึ่งเป็นเชื้อราที่กำจัดได้ยากเมื่อระบาดจะสร้างความรุนแรงและความเสียหายให้กับพืชหลายชนิด โนคนี้สามารถแพร่ระบาดได้อย่างวงกว้างและรวดเร็วในช่วงฤดูฝนหรืออาจจะติดไปกับน้ำที่รด โดยลักษณะทั่วไปรากจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล ช้ำและเน่า โดยจะเกิดที่ราก ใบปลายกิ่งมีสีซีดไม่มันเงา ใบเหี่ยวลู่ลง เมื่ออาการรุนแรงขึ้นใบจะเหลืองและหลุดร่วง ละเมื่อขุดดูรากฝอยจะพบว่าเปลือกล่อน เปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาล หากอาการรุนแรงจะลามไปยังรากแขนงและโคนต้น ทำให้ต้นโทรมและตาย และหากเกิดที่โคนต้น จะมีลักษณะเปลือกแตก มีเมือกออกมาจากเปลือกที่แตกและเมื่อแผลขยายใหญ่จะลุกลามไปรอบโคนต้น จนทำให้ใบร่วงจนหมดต้นและแห้งตาย
โดยโรคเน่าคอดินโรครากเน่าโคนเน่า นั้นสามารถกำจัดและป้องกันได้โดยใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่า (อินดิวเซอร์) ซึ่งจะสามารถกำจัดและป้องกันเชื้อราทางดินได้ โดยใช้ 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมให้เข้ากันฉีดพ่นในช่วงเย็นหรือช่วงเช้าที่มีแดดอ่อนโดยฉีดพ่นให้เปียกชุ่มทั่วโคนต้น ใบ นอกจากนี้อินดิวเซอร์ยังสามารถที่จะขยายเชื้อได้โดยใช้1. น้ำสะอาด 20 ลิตร 2. แป้งข้าวโพด(แป้งมัน แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า) 3. อินดิวเซอร์ 100 กรัม โดยวิธีการขยายเชื้อคือ นำน้ำสะอาดผสมกันแป้งข้าวโพด จากนั้นนำไปต้มเคี่ยวจนเดือด15-20 ให้มีลักษณะคล้ายน้ำราดหน้า จากนั้นตั้งทิ้งไว้ให้อุ่นหรือเย็น จากนั้นใส่อินดิวเซอร์ลงไป 100 กรัม ปิดหม้อทิ้งไว้ 3-7 วัน รอจนเชื้อเดินเต็มผิวหน้า หากจะนำมาใช้ให้ใช้อัตรา 100 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ผสมให้เข้ากันฉีดพ่นในช่วงเย็นหรือช่วงเช้าที่มีแดดอ่อนโดยฉีดพ่นให้เปียกชุ่มทั่วโคนต้น ใบ
บทความโดย นางสาวธารหทัย จารุเกษตรพร
ตำแหน่งนักวิชาการเกษตร บริษัทไทยกรีนอะโกร จำกัด