0

Your Cart

No products in the cart.
THAIGREENAGRO | ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
[agrikon_wc_ajax_search]

พิชิตไส้เดือนฝอยตัวร้าย: คู่มือป้องกันและกำจัดสำหรับเกษตรกรยุคใหม่

สวัสดีครับพี่น้องเกษตรกรทุกท่าน วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ "ไส้เดือนฝอย" ตัวร้ายที่แอบซุ่มทำลายรากพืชของเราอยู่เงียบๆ ขอบอกก่อนเลยว่าไส้เดือนฝอยที่เราจะคุยกันวันนี้ ไม่ใช่เพื่อนตัวจิ๋วสีแดงที่เราเอาไว้เลี้ยงปลาสวยงาม หรือฮีโร่ที่ช่วยกำจัดศัตรูพืชที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำนะครับ แต่เป็นผู้ร้ายตัวจริงที่คอยบ่อนทำลายระบบราก สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตของเราอย่างน่าปวดใจ ในยุคที่ปุ๋ยแพง น้ำมันแพง ข้าวของเครื่องใช้ก็พาเหรดกันขึ้นราคาแบบไม่เกรงใจใคร การดูแลและป้องกันพืชผลของเราจากศัตรูร้ายอย่างไส้เดือนฝอยจึงเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้เลยครับ เพราะเจ้าตัวเล็กๆ นี่แหละครับที่สามารถเล่นงานพืชเศรษฐกิจได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่พริก ถั่วลิสง ถั่วเหลือง มันแกว มันสำปะหลัง ไปจนถึงพืชไร่ ไม้ผล พืชหัว และพืชผักกินเม็ดต่างๆ มากกว่า 2,000 ชนิด! เชื่อเถอะครับว่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เจ้าไส้เดือนฝอยนี่แหละที่จะเข้ามาสร้างความปวดหัวให้กับพี่น้องเกษตรกรของเราอย่างแน่นอน วันนี้เราจะมาพูดถึงไส้เดือนฝอยชนิดที่ก่อให้เกิด "รากปม" หรือที่เรียกว่า "Root Knot Disease" ครับ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียง (ที่ไม่ค่อยดี) ของมันมาบ้างแล้ว แต่ขอย้ำอีกทีว่า ไส้เดือนฝอยที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ใช่ไส้เดือนตัวเล็กๆ สีแดงที่คุ้นเคยกันนะครับ แต่มันคือกลุ่มของหนอนตัวกลมขนาดเล็กมากๆ ที่เรียกว่า "นีมาโทด" โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ชื่อว่า "เมโลอินโดจีน" (Meloidogyne spp.) ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักที่คอยทำลายพืชของเรา ในช่วงแรกของชีวิต (ระยะที่ 1 และ 2) เราแทบจะไม่สามารถมองเห็นเจ้าไส้เดือนฝอยตัวนี้ได้ด้วยตาเปล่าเลยครับ แต่มันมีอาวุธร้ายกาจคือ "ทรายเหล็ก" หรือปากแหลมๆ ที่มันใช้เจาะและปล่อยน้ำย่อยไปที่รากพืช ทำให้รากพืชอ่อนนิ่มลง และแล้วมันก็จะมุดเข้าไปฝังตัวอยู่ในระบบรากอย่างสบายใจเฉิบ จากนั้นมันก็จะเริ่มกระตุ้นเซลล์ของรากพืชให้เกิดการบิดเบี้ยว อุดตัน โป่งพอง บวมนูน กลายเป็น "รากปม" ในที่สุด เจ้ารากปมที่ว่านี้ ไม่เหมือนกับรากปมของไรโซเบียมที่เราคุ้นเคยในพืชตระกูลถั่ว ปอเทือง หรือกระถินนะครับ รากปมที่เกิดจากไส้เดือนฝอยนั้นเป็นอุปสรรคขัดขวางการลำเลียงน้ำและอาหารของพืช ทำให้พืชไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ต้นเตี้ยแคระแกรน เจริญเติบโตไม่ดี และบางครั้งก็มีอาการเหี่ยวเฉาคล้ายกับเป็นโรคตายพรายในกล้วย หรือเหี่ยวเขียวในมะเขือเทศ ความร้ายกาจอีกอย่างของเจ้าไส้เดือนฝอยชนิดนี้ก็คือ มันไม่ได้ทำให้พืชตายในทันทีทันใดเหมือนเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดอาการเน่าหรือใบจุดใบด่าง แต่ผลผลิตและการเจริญเติบโตของพืชจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ไส้เดือนฝอยลอกคราบ (ประมาณ 3 ครั้ง) หลังจากนั้นมันก็จะเข้าสู่ช่วงเจริญเติบโตเต็มวัย และสามารถวางไข่ได้มากถึง 100-250 ฟอง โดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์กับตัวผู้ นั่นหมายความว่าการแพร่กระจายของมันรวดเร็วและกว้างขวางอย่างน่าตกใจ และมันยังสามารถอาศัยอยู่กับพืชได้หลากหลายชนิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีพืชอยู่ 2 ชนิดที่เจ้าไส้เดือนฝอยตัวนี้ไม่ค่อยชอบหรือไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ นั่นก็คือ "ดาวเรือง" และ "ปอเทือง" ครับ เกษตรกรหลายท่านจึงใช้วิธีการพักดินแล้วปลูกพืชสองชนิดนี้หมุนเวียนเพื่อลดการระบาดของไส้เดือนฝอยเมื่อมีการระบาดรุนแรง ทีนี้เรามาดูกันถึง "วิธีการป้องกัน" เจ้าไส้เดือนฝอยตัวร้ายนี้กันบ้างครับ ต้องยอมรับว่าการป้องกันไส้เดือนฝอยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเราก็มีทางเลือกใหม่ๆ ที่น่าสนใจครับทางเลือกแรกที่เราจะมาพูดถึงคือการใช้ "เห็ดสิรินรัศมี" ครับ เห็ดชนิดนี้เป็นเห็ดเรืองแสงที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีพิษหรือสปอร์ที่เป็นอันตรายต่อไส้เดือนฝอย โดยกรมวิชาการเกษตรก็ได้มีการนำมาทดลองและวิจัยแล้ว วิธีการเพาะเลี้ยงเห็ดสิรินรัศมีก็คล้ายกับการเพาะเห็ดทั่วไปครับ หากเราได้ดอกเห็ดมา ก็สามารถนำสปอร์หรือเนื้อเยื่อไปเลี้ยงบนอาหารวุ้น PDA จนเชื้อเดินเต็มที่ แล้วจึงนำไปเลี้ยงต่อบนข้าวฟ่างหรือข้าวโพด จากนั้นก็นำไปเลี้ยงบนขี้เลื่อยที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้วอีกทีหนึ่ง สำหรับชื่อ "สิรินรัศมี" นี้ เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งครับ หลังจากที่เราเลี้ยงเชื้อเห็ดบนขี้เลื่อยประมาณ 45 วัน เราก็สามารถนำมาก้อนเชื้อมาบดขยี้ให้ละเอียด แล้วนำไปโรยในแปลงปลูก โดยอัตราการใช้โดยประมาณคือ 160 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 1 กิโลกรัมต่อ 10 ตารางเมตร ซึ่งจะช่วยลดปัญหาไส้เดือนฝอยได้ครับ เชื้อเห็ดสิรินรัศมีนี้สามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิปกติได้นานถึง 12 เดือน แต่หากเชื้อมีอายุเกิน 45 วันไปแล้ว อาจจะต้องมีการกระตุ้นเชื้อ โดยนำมาก้อนเชื้อมาขยี้ พรมด้วยน้ำกลั่นเล็กน้อย ใส่ถุงให้มีอากาศถ่ายเท แล้วเลี้ยงต่อประมาณ 3-7 วัน จนมีเส้นใยสีขาวๆ ของเห็ดขึ้นมา ก็สามารถนำไปใช้ต่อได้ครับอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้ "จุลินทรีย์พาซิโลมัยซิส" ครับ เชื้อราชนิดนี้มีชื่อทางการค้าในท้องตลาดว่า "นีมาเคียว" ซึ่งนักวิชาการได้วิเคราะห์และวิจัยแล้วว่าสามารถกำจัดตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของไส้เดือนฝอยที่ทำลายพืชได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเชื้อพาซิโลมัยซิสยังสามารถทำลายไข่ของแมลงศัตรูพืชอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง ไรดีด ไรไข่ปลา และไข่แมลงหวี่ ซึ่งเกษตรกรที่เพาะเห็ดก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เช่นกันเชื้อพาซิโลมัยซิสนี้เป็นชื่อสามัญ เหมือนกับที่เราคุ้นเคยกับไตรโคเดอร์มา บิวเวอร์เรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส หรือเมธาไรเซียมครับ พี่น้องเกษตรกรสามารถนำไปใช้ได้หลายวิธี เช่น โรยลงในหลุมปลูก โดยอาจจะใช้ประมาณ 1 ช้อนชาต่อหลุม หรือสำหรับพืชตระกูลพริกไทย อาจจะใช้ 1 ช้อนแกงโรยรอบทรงพุ่ม หากมีการเตรียมหลุมปลูกร่วมกับ "ภูไมท์" หรือ "ภูไมท์ซัลเฟต" ซึ่งเป็นแร่ธาตุจากหินภูเขาไฟ ก็จะยิ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันไส้เดือนฝอยได้ดีขึ้นครับ เพราะหินภูเขาไฟจะมีส่วนประกอบของเฟลด์สปาร์และควอตซ์ ซึ่งมีความคมคล้ายเศษแก้ว เมื่อไส้เดือนฝอยเคลื่อนที่ผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและลดปริมาณลงได้บางท่านอาจจะนำเชื้อพาซิโลมัยซิสมาผสมน้ำในอัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วนำไปราดรดหรือฉีดพ่นบนพืชที่มีปัญหาไส้เดือนฝอย เช่น พริก ข้าวโพด อ้อย ปาล์ม ยางพารา ถั่วลิสง ขิง ข่า ฝ้าย ยาสูบ หรือแม้แต่ผักเมืองหนาวนอกจากนี้ ยังมีสูตรประหยัดที่พี่น้องเกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ได้ครับ โดยการนำเชื้อพาซิโลมัยซิส 1 กิโลกรัม มาคลุกเคล้ากับรำละเอียด 10 กิโลกรัม พรมน้ำพอหมาดๆ แล้วนำไปหมักทิ้งไว้ใต้ร่มไม้หรือคลุมด้วยสแลนประมาณ 7-15 วัน วิธีนี้อาจจะมีความเสี่ยงเรื่องการปนเปื้อนบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเชื้อพาซิโลมัยซิสก็จะยังคงอยู่และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยนำไปโรยหรือรองก้นหลุมเพื่อลดต้นทุน สำหรับท่านที่เพาะเห็ดนางรม นางฟ้า เป๋าฮื้อ ภูฐาน หรือเห็ดชนิดอื่นๆ ที่มีก้อนเชื้อเก่าที่บ่มมาแล้ว 3-5 เดือน ก็สามารถนำก้อนเชื้อเก่ามาตีป่นให้ละเอียด แล้วนำมาขยายเชื้อพาซิโลมัยซิสได้ครับ โดยอาจจะใช้สูตรดังนี้: สูตรที่ 1: เชื้อพาซิโลมัยซิส 1 กิโลกรัม คลุกกับรำละเอียด 10 กิโลกรัม ให้เข้ากันดี เพื่อให้สปอร์ของเชื้อเกาะติดกับรำ (ซึ่งมีวิตามินบี 1 ที่เป็นอาหารของเชื้อ) จากนั้นนำไปคลุกกับก้อนเชื้อเห็ดเก่าที่ตีป่นแล้ว 40-50 กิโลกรัม เพื่อให้ได้อัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ 50 หรือ 1 ต่อ 60 สูตรที่ 2 (ประหยัดกว่า): นำเชื้อพาซิโลมัยซิส 1 กิโลกรัม คลุกกับรำละเอียด 5 กิโลกรัม แล้วนำไปคลุกกับขี้เลื่อยหรือก้อนเชื้อเห็ดเก่าที่ตีป่นแล้ว 50 กิโลกรัม หลังจากคลุกเคล้าส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากันดีแล้ว ให้นำไปหมักทิ้งไว้ประมาณ 7-15 วัน อาจจะวางไว้ใต้โคนต้นไม้หรือคลุมด้วยสแลนก็ได้ครับ แล้วจึงนำไปใช้ราด รด หรือรองก้นหลุม ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนในการป้องกันและกำจัดไส้เดือนฝอยได้มากพอสมควรเลยทีเดียวครับ หากมีข้อสงสัยหรือสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถกดไปที่ลิงค์นี้ได้เลยครับhttps://thaigreenagro.com/ Line officl : @thaigreenagro , โทรศัพท์ 0-2986-1680, 084-555-4207
×