ในอาณาจักรของผลไม้นั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมล่อนนั้นเป็นหนึ่งในใจของคนหลายๆคนด้วยรสชาติที่หวานหอมเนื้อสัมผัสฉ่ำวาวรวมถึงกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งความหวานของเมล่อนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติแต่เกิดจากความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การคัดสายพันธุ์ในการปลูกซึ่งสายพันธุ์ที่แนะนำให้ปลูก
1.สายพันธุ์เมล่อนญี่ปุ่น สายพันธุ์ที่รู้จักกันดีในเรื่องรสชาติที่หวานจัด เนื้อสัมผัสเนียนนุ่มกลิ่นหอมเอกลักษณ์ ถือว่าเป็น King of melon ทั้งในเรื่องคุณภาพและราคาได้แก่ 1.1พันธุ์ยูบาริ คิง เป็นราชินีของเมล่อนญี่ปุ่น ในเรื่องความหวานจัด เนื้อฉ่ำ กลิ่นหอมเฉพาะตัวเป็นสายพันธุ์ที่มีราคาสูงมาก 1.2 เพิร์ลเมล่อน สายพันธุ์ F1ที่มีความหอมเป็นสไตล์ญี่ปุ่นคือหอมเย็นๆและหอมฟุ้ง เนื้อเนียนไม่แน่นไม่เละง่าย จะมีสีเนื้อทั้งสีเขียวและสีส้ม 1.3 ร็อคกี้เมล่อน จะมีเนื้อสีส้มนุ่มฉ่ำน้ำ หวานกำลัง
2. สายพันธุ์พันธุ์ไข่มังกร มาจากประเทศจีน(แถบทิเบต) เปลือกสีเขียวเข้ม ผิวมีรอยแตก เนื้อสีส้ม รสชาติจะหวาน เนื้อฟูกรอบ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
3.สายพันธุ์แสนหวาน เป็นเมล่อนผิวลายตาข่าย เนื้อสีส้มนุ่มละมุนหวานหอม เมื่อตัดสดเนื้อจะมีความกรอบ แต่เมื่อบ่มประทาณ 3-5 วัน เนื้อจะนุ่มละมุน
4. พันธุ์มะลิ เป็นเมล่อนสายพันธุ์ไทย ผิวมีลายแตกเปลือกบาง เนื้อเนียนนุ่มมีสีขาวรสชาติหอมหวานเหมือนน้ำผึ้งหรือมีกลิ่นหอมคล้ายมะลิ
นอกจากนี้แล้วการดูแลไม่ให้โรคและแมลงเข้ามาทำลายผลรวมถึงการให้ธาตุอาหารเพื่อเพิ่มความหวานก็สำคัญ โดยโรคและแมลงที่ควรระวังคือ
1. โรคราน้ำค้าง เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า Pseudoperonospora cubensis ลักษณะอาการที่พบเริ่มแรกจะเป็นจุดสีเหลืองเล็กๆบนในด้านบน ส่วนใต้ท้องใบจะเป็นแหล่งสปอร์ของเชื้อราคล้ายผงแป้ง เมื่อาการรุนแรงขึ้นใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แห้งเหี่ยว หลุดร่วง ทำให้ผลผลิตลดลงและคุณภาพผลผลิตต่ำ มักจะระบาดในระยะต้นกล้าการย้ายเมล่อนลงที่ปลูกใหม่ และ ช่วงเช้าที่มีอากาศเย็น มีความชื้นสูง
2. โรคเน่าคอดิน เกิดเชื้อราที่ชื่อว่า Pythium spp. หรือ Phytophthora spp. ลักษณะอาการที่พบโคนต้นจะมีรอยช้ำและเน่าบริเวณคอดิน ส่งผลให้กล้ายืนต้นตาย มักเกิดในเมล่อนระยะต้นกล้าหรือย้ายที่ปลูกใหม่ มักจะเกิดในช่วงฝนตกหรือดินมีความชื้น
3.เพลี้ยไฟ ลักษณะการเข้าทำลายของแมลงจะเป็นการดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน ส่งผลให้เกิดใบไหม้ ใบหงิกงอ แคระแกร็น รวมทั้งยังเป็นพาหะในการเกิดโรคมักหลบซ่อนอยู่ในยอดอ่อนหรือมุมอับของใบมักระบาดรุนแรงในช่วงที่มีอากาศร้อนและแห้ง หรือช่วงที่ต้นไม้มีการแตกยอดอ่อน
4.หนอนชอนใบ ลักษณะการเข้าทำลายนั้นจะกัดกินใบทำให้เกิดรูพรุน หรือ ใบหายเป็นวงกว้างซึ่งส่งผลต่อการสสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโตของต้นไม้
5.ด้วงเต่าแตงแดง ลักษณะการเข้าทำลายของตัวเต็มวัยและตัวอ่อนนั้นจะกัดกินส่วนต่างๆของพืชโดยเฉพาะใบดอก ผลอ่อน ทำให้เกิดผลผลิตเสียหาย การสังเคราะห์แสงของต้นไม้ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ อินดิวเซอร์(ไตรโคเดอร์ม่า)ในการกำจัดและป้องกันเชื้อราทางดินเช่น โรคเน่าคอดินได้ ไบโอเซนเซอร์(บาซิลลัส ซับทิลิส)ในการกำจัดและป้องกันเชื้อราทางใบเช่นโรคราน้ำค้างได้ บูเวเรีย(บูเวเรีย บัสเซียน่า)ในการกำจัดและป้องกันแมลงปีกอ่อนเช่น เพลี้ยต่างๆ แบคเทียร์(บาซิลัสทูริงเยนซิส)ในการกำจัดและป้องกันหนอนเช่น หนอนชอนใบ ฟอร์แทรน(เมธาไรเซียม)ในการกำจัดและป้องกันแมลงปีกแข็งเช่น ด้วงเต่าแตง อัตราในการใช้จะอยู่ที่ กรัม/น้ำ ลิตร ผสมให้เข้ากันจากนั้นฉีดพ่นในช่วงเย็น
การให้ปุ๋ยทางใบก็สามารถที่จะให้ธาตุอาหารที่เกี่ยวกับอาหารได้ดีโดยตัวี่ช่วยในการส่งเสริมความหวานรวมถึงขนาดผลได้นั้นได้แก่ ทีจีเอ F3 และ ทีจีเอ F4 เมื่อใช้ควบคู่กันจะช่วยให้ผลเมล่อนนั้นมีรสชาติที่หวานยิ่งขึ้น ลดการแตกของผลเมล่อน รวมถึงการเพิ่มขนาดลูกให้ใหญ่ กลม สวยงาม อัตราการใช้ 10-20 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการปรึกษาปัญหาด้านการเกษตรปลอดสารพิษ ติดต่อสอบถามได้ที่ https://thaigreenagro.com/ บทความโดย นางสาวธารหทัย จารุเกษตรพร ตำแหน่งนักวิชาการเกษตร บริษัทไทยกรีนอะโกร จำกัด

