0

Your Cart

No products in the cart.
THAIGREENAGRO | ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
[agrikon_wc_ajax_search]

เรื่องเล่า ชาวเกษตรเคมี วิถีแห่งสารพิษ

วันนี้เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาหรือเรียกว่าเรื่องเล่าของชาวเกษตรที่มีการใช้สารเคมีหรือสารพิษ และก็มีการพัฒนาในเชิงที่จะดีขึ้นหรือแย่ลง เดี๋ยวเราจะได้พูดคุยหรือเพื่อนๆที่ต้องการการแลกเปลี่ยนพูดคุยก็สามารถที่จะค้าขายเข้ามาในรายการไลฟ์สดของพวกเราได้ ถือว่าเป็นบรรยากาศแบบเป็นกันเอง

                พูดถึงการทำเกษตร ถ้าย้อนไปช่วงปฏิวัติเขียว สมัยปี 2504 ถ้าเป็นเรื่องเดิมทีต้องถือว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีปรับปรุงพันธุ์พืชและเห็ด และก็พัฒนาเรื่อง ปุ๋ย ยา ฮอร์โมนต่างๆ เน้นในเรื่องของการผลิตเป็นจำนวนมาก เพราะว่าในสมัยก่อนเหมือนคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ เขาจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ในยุคนั้นเราก็กลัวว่าประชากรโลกนั้นเพิ่มขึ้น เราจะผลิตอาหารไม่ทันก็ต้องผลิตเป็นจำนวนมาก ใส่ปุ๋ยเคมีฉีดยาฆ่าแมลงเยอะแยะมากมาย อยู่มาช่วงนี้ใครจะรู้ว่าประเทศไทยประชากรอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตายทำให้วัยหนุ่มสาวแรงงานเราแทบไม่มี เราต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน การเกษตรก็เรียกว่าทำสวนถ่านคือพยายามไปตอบโจทย์กับดีมานเทียม คือคิดว่าทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ น่าจะดี เช่นเอาพืชเมืองหนาวมาปลูกเมืองร้อน เอาพืชเมืองร้อนไปปลูกเมืองหนาว เราทิ้งธรรมชาติ เราคิดว่าดินก็เป็นเพียงแค่ดิน เมื่อก่อนทำนาปีละครั้ง ปลูกพืชไร่ไม้ผลปีละครั้งและปล่อยให้เศษต่อซังฟางข้าว เศษกิ่งไม้ใบหญ้าในสวนมันล่วงหล่นมาทดแทนปุ๋ยที่ถูกนำไปใช้ในรูปของผลซึ่งก็คือผลผลิตที่เรานำเอาไปจำหน่ายมันก็ทันกัน แต่เมื่อเราเร่งรีบ เราใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ยาฆ่าแมลง ดินมองเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ประคองรากพืชให้โต ดินมันจืดก็เติมปุ๋ยเคมีลงไป มันไม่งามก็ฉีดฮอร์โมนลงไป มันมีโรคแมลงเราก็ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชลงไป เราใช้จนไม่ได้คำนึงถึงดินว่าระบบนิเวศของดินนั้นซึ่งประกอบไปด้วยไส้เดือน จุลินทรีย์ แบคทีเรีย สิ่งมีชีวิตเยอะแยะมากมายที่อยู่ร่วมสร้างกิจกรรมให้เกิดระบบนิเวศองค์รวม อันนี้ยังไม่นับเรื่องของการเผาที่ปัจจุบันก็เริ่มมาส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติ คือมีฝุ่น PM 2.5 เข้ามากระหน่ำซ้ำเติม แล้วมาบวกกับโรคร้ายต่างๆ อเมริกาเป็นผู้บุกเบิก ในช่วงที่ยุคนั้นปี 2494 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ผู้ที่เอ่ยวลีว่า เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง ท่านก็พยายามเอาเทคโนโลยีมา แล้วก็รัฐบาลมาเขียนแผนพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ น่าจะปี 2503 แล้วก็มาพัฒนาใช้ ปี 2504 ที่มีเพลงผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม อันนี้ก็ทำให้การเกษตรเราเติมเคมี ทำให้ดินแข็ง แน่น เราใช้สารพิษบางทีฆ่าหมูตัวเดียว ใช้สารพิษ ฆ่าหอย ฆ่าปู ยาฆ่าปูก็พวกโพลิดอน เดี๋ยวนี้มีชื่อคล้ายๆกันพวกโฟลีดอน เวลาผสมกับข้าวสุกมันจะออกสีเหลืองๆเหมือนคลุกกับไข่ต้ม ข้าวคลุกแล้วเอาไปหว่านโรย ตรงบริเวณที่ปูจะเข้ามาทำลาย ใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ดินยิ่งเสื่อม เราปลูกพืชโดยที่ไม่ได้คำนึงถึง ไส้เดือน แมงมุม กิ้งกือ จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายดินให้เป็นดินดำน้ำชุ่มเลย เราใช้แต่ความสะดวกเพื่อหวังให้ได้มากๆ แต่ในบั้นปลายท้ายที่สุดเป็นยังไงครับ วิธีคิดแบบนี้เพื่อนๆหลายคนน่าจะทราบ เป็นวิธีที่ไม่ได้ยั่งยืนเลย ดูจากส้มบางมดมารังสิตซึ่งผมจะพูดบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งลำไย ทุเรียน เมื่อก่อนเมืองนนท์ทุเรียนเยอะมาก แต่รอบๆระบบนิเวศทั้งน้ำทะเลหนุน น้ำท่วมปี 2554 ทั้งปุ๋ยที่มาจากด้านบน ปทุมธานี อ่างทอง อยุธยา สิงห์บุรี ในคลองส่งน้ำความจริงต้องเป็นน้ำที่สะอาด มาจากเขื่อน เราก็ใช้ระบบของชลประทานแบบเน่าเฟะ คลองส่งต้องเป็นน้ำสะอาดมาจากเขื่อน เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนภูมิพล แล้วคลองทิ้งก็คือเวลาเราปลูกเสร็จ น้ำสะอาดเข้าทางด้านหน้าแปลง น้ำเสียออกหลังแปลงก็จะมีคูทิ้ง คูทิ้งก็จะรวบรวมน้ำไปสู่คลองทิ้ง ซึ่งก็เป็นเคมี ปัจจุบันน้ำเป็นทรัพยากรที่หายาก พื้นที่บางแปลง การปฏิรูปที่ดินไม่ดี บางทีวิดน้ำเข้าใส่ปุ๋ยยาฆ่าหนอน ฆ่ารา ในดินและก็สูบน้ำออกมาทางคลองส่งน้ำ อันนี้จะเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ระบบนิเวศในลุ่มน้ำเจ้าพระยาลงมามีสารปนเปื้อนหมด พี่น้องเกษตรกรที่จะทำแนวเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารพิษ เอาไปให้ทางการรับรองไม่ผ่าน อันนี้ยังไม่นับรวมเรื่องฝนเทียม ไม่นับรวมแปลงเพื่อนบ้าน เอาแค่น้ำที่ใช้ในการปลูกที่มาจากคลองส่งน้ำนำไปตรวจค่าสารพิษก็ไม่ผ่านแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องราวที่เป็น Background ของการทำเกษตรก็อยากจะมาบอกเพื่อนพ้องน้องพี่ ถ้าวันนี้เราไม่เริ่มนับ 1 ด้วยการทำเกษตร ที่ปลอดภัยไร้สารพิษมุ่งไปสู่เกษตรอินทรีย์ เราจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ส่งต่อไปยังลูกหลานของเราในอนาคต ดินมันจะเสื่อมเสียและก็ทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่บางกลุ่มหลงทาง คือห่างธรรมชาติ ปลูกพืชก็ไม่ง้อดิน ไปทำเป็นไฮโดรโปนิกส์และก็ใส่เคมีลงไปตรงๆ พอพืชไม่มีจุลินทรีย์ไส้เดือน ไม่มีตัวตุ่น ไม่มีกิ้งกือ ไม่มีอะไรเป็นตัวทำหน้าที่เป็นกันชน ไม่มีจุลินทรีย์ มันก็อยู่ในน้ำอยู่ในซอยเล็ตเคาร์เจอร์ วัสดุปลูกตรงๆและรากมันพันทั้งน้ำและพวกตัวปุ๋ยเคมีที่โดนกับรากตรงๆก็สะสมอยู่ในเซลล์พืชจำนวนมาก แต่ถ้าเราปลูกพืชบนดินไทย พระแม่ธรณีของประเทศไทย ทานเงาะบ้วนเมล็ดก็ยังขึ้นเลย อุดมสมบูรณ์มากๆ ถ้าท่านไปอิสรเอลที่มีระบบการปลูกแบบทันสมัย ปลูกพืชไร้ดิน ปลูกพืชแบบใช้น้ำ ดินของเขาไม่เหมาะสม ผมไม่ได้บอกว่าเทคโนโลยีเขาไม่ดี เพียงแต่ว่าทรัพยากรเขาไม่เหมาะเขาจึงต้องคิดการปลูกที่มันแพงขึ้นไป แต่ถ้าเรา เรามีดินที่มีต้นทุนต่ำมากๆแต่เราใช้สารพิษไปอาบชโลมหลาย 10 ปี 2504 มาจนถึง 2564 60 กว่าปี สารพิษสะสมบ่มเพาะอยู่ในดิน ในน้ำ เท่าไร ไม่เชื่อลองไปดูตัวเลขสถิติจากสำนักงานสถิติการเกษตรอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รั้วเดียวกัน เขาจะเก็บตัวเลขการนำเข้าพวกยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหนอน ยาฆ่าแมลง ย่าฆ่าเชื้อรา มูลค่าเป็นหลายหมื่นล้านบาทก็ไปสะสมอยู่ในดิน จุดพ้อยท์ที่จะมาพูดให้รู้ว่า การทำเกษตรที่ใช้สารพิษมันไม่ยั่งยืน คือเพื่อนๆจะได้ผลผลิตเร็วจริงในช่วงแรกๆ ใช้ไปแล้วดินมันเสื่อม ลองไปดูปราชญ์ชาวบ้าน แต่ท่านต้องปรับให้ตรงกับจริตเอากลางๆ มันจะยั่งยืน คือเราเลี้ยงดินเลี้ยงน้ำเลี้ยงระบบนิเวศ ถ้าจะเอาผนวก เอาศาสตร์ของพระราชาเข้ามาด้วย ทำแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ได้ว่าให้ทำเยอะ ลองทำดู 1 แปลงเล็กๆ แบ่งเป็น 3 ส่วน มีสระน้ำ 30% ปลูกข้าว 30% ปลูกประโยชน์ 4 อย่าง 30% ปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก และก็อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย 10% ท่านจะรู้ว่าต้นไม้พวกนี้มันจะเหมือนวิถีชีวิตของปู่ย่าตายาย เพื่อนๆที่อายุ 40-50 ปี ลองนึกย้อนไปในอดีตอาคารบ้านเรือน ของคนสมัยโบราณจะมีมะม่วงอยู่กลางลาน มีมะนาวอยู่ท้ายครัว มีตะไคร้ โหระพา กระเพราอยู่บริเวณรอบๆที่เวลาเรามีนอกชาน กินข้าวล้างจานเขาจะสาดน้ำไปตรงนอกชาน เขาจะมีพวกนี้อยู่ ไม่ต้องซื้อมะกรูด มะนาว ผักสวนครัว รั้วกินได้ ปลูกหน้าบ้าน หลังบ้าน กฐิน ชะอม ริมรั้ว รู้ไหมว่าหัวใจสำคัญของวิถีชีวิตแบบนั้นเชื่อไหมครับว่า เขาไม่ได้ฉีดยา นั่นคือสิ่งที่เขาปลูกไว้กินเอง มันจะมีเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง หนอนมาทำลายบ้างเล็กน้อย ไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย กินก็กินยังไงก็กินไม่หมด นี่คือธรรมชาติเขาเรียกว่าแบ่งปัน เวลาเรามาทำเกษตรเชิงเดี่ยว 1% ก็เสียไม่ได้ พอฉีดยาฆ่านก หนู แมลงตายหมดเลย งูจะคอยกินหนู หนูจะกินแมลง หนูไปกินหอย พังพอนกินหอย ระบบนิเวศที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันคอยปกป้อง มันถูกตัดวงจร ใช้ยาพวกเอนโดรซัลแฟน คาร์โบซัลแฟน หยดลงไปวิ่งในน้ำเป็นสายไปเลย ฆ่าทั้งปลาหลด ปลาไหล หอยโข่งสูญพันธุ์ หอยเชอรี่ก็ไม่มี ต้องคิดว่าระยะยาว เราจะส่งดินเน่าๆแบบนี้ไปให้ลูกหลานมันจะคุ้มไหม และยิ่งดินเสียยิ่งเปลืองปุ๋ยต้นทุนเปลืองปุ๋ย แต่ถ้าปลูกแบบให้ธรรมชาติดูแล ฉีดน้ำหมัก สร้างวัคซีนให้พืช น้ำหมัก ปุ๋ยชีวภาพทุกชนิด เขาสามารถที่จะกระตุ้น กระตุ้นให้พืชมีภูมิคุ้มกันตนเอง หรือในธรรมชาติถ้ามีแมลงมากัดกินให้เกิดบาดแผล 2% 3% 5% หรือมากกว่า เขาจะสร้างภูมิป้องกัน ยังไงมะนาว หน้าบ้าน หลังบ้าน ท้ายครัว ก็ไม่ต่างมีแต่งามจากข้าวสุก เศษอาหาร เศษอะไรที่สาดไปใต้โคนก็ได้จุลินทรีย์ต่างๆย่อย เพราะฉะนั้นเวลาจะทำเกษตรเชิงเดี่ยวมันก็สามารถทำได้คือการหยุดการใช้พวกสารพิษที่ไปฆ่าจุลินทรีย์ดีๆ ระบบนิเวศดีๆ ท่านอาจจะไม่อยากซื้อเยอะก็ใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ท่านอาจจะใช้สารทดแทน ปลูกเป็นอาชีพเชิงเดี่ยวไม่อยากจะทิ้งก็ต้องมีพวกหินแร่ภูเขาไฟ สารทดแทนปุ๋ยเอาง่ายๆ อาจจะใช้โดโลไมท์ ฟอสเฟต ปูนมาน ปูนขาว ภูไมท์ ภูไมท์ซัลเฟต ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ อันนี้เราพูดถึงเรื่องดิน ก็จะใช้ตัวนี้ทดแทนได้ แต่ถ้าปลูกกินเองเพื่อนๆแค่ใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกก็เพียงพอ ถ้าทำนาก็หมักฟางไม่ต้องเผาก็เพียงพอ ประโยชน์ของการหยุดการใช้สารพิษมันมีทางอ้อม เพื่อนๆรู้ไหมว่าเกษตรกรที่ใช้สารพิษมาเป็นระยะเวลานานๆ 20-30 ปี ส่วนใหญ่แล้วจะตายไม่สวย ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นอัมพฤกษ์ อัมภาต ปากเบี้ยว มือหงิก โรคสะเก็ดเงินสะเก็ดทองจากละอองเวลาฉีด ถังฉีดยาหกรด แล้วไม่ได้รีบอาบน้ำก็ต้องฉีดเดินไปข้างหน้าแล้วก็เดินมา แปลงมันยาวเจอแสงแดด เป็นแบบนี้เป็นอาจินเป็นวิถีชีวิต ก็ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง บางคนปลูกส้ม ปลูกข้าว นาแถวทุ่งรังสิตร่ำรวย แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้เงิน เพราะว่าเป็นมะเร็ง เป็นโรคเสื่อมสภาพทางเพศ สิ่งที่พูดมาไม่ได้ลอยๆ เพื่อนๆไปค้นตัวเลขจากของระบบสาธารณะสุขก็จะมีเดี๋ยวนี้สาธารณะสุขเรามีเชิงรุก เวลาเขาจัดอบรม สัมมนาร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรเขาก็จะไปตรวจเลือด เอาง่ายๆว่า ผมว่า 99% ตรวจเลือดมีสารพิษ บางคนไม่ได้ทำเกษตรก็มีสารพิษ เพื่อนๆว่ามาจากไหน มาจากผลผลิตที่เรากิน กินผักผลไม้ที่มีแต่สารพิษ ลำไยเชื่อไหมครับว่าทั้งร้อยจะต้องแช่สารไม่ให้เชื้อรา ลำไยจะเน่าง่ายเขาจะต้องรมควัน อบกำมะถัน คนไทยกินลำไยจะใช้มือค่อยๆแกะ เราส่งไปจีน จีนยังพอทน ไปตะวันออกกลางเขาใช้ปากกัดลำใย ซึ่งมีแต่สารพิษจากการรมควันทั้งสิ้นเยอะแยะมากมาย อันนี้คือข้อเสียที่อยากจะนำมาเสนอให้เพื่อนๆได้เห็นว่าไม่ดีเลย ถ้าเราไม่เริ่มเก่งการทำเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์ตั้งแต่วันนี้ท่านจะเริ่มเมื่อไร โลกเขาต้องการอาหารแบบไหน เขาต้องการดูแลสุขภาพยังไง ท่านไม่เริ่มเก่งมันยุ่งยาก มันไม่ทันการ มันล่าช้า แต่อย่าลืมนะครับว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีบ้านเราก็ไม่ธรรมดา บางทีก็มีจุลินทรีย์บางตัวฉีดหนอน 2 ชั่วโมงก็น็อคตายได้ บางทีก็มีสมุนไพร สูตรสมุนไพรฉีดลงไปในแปลงนาแป๊บเดียวชีปะขาว ชีปะขาวไม่ใช่คนถือศีลแล้วใส่ชุดขาว เป็นแม่ผีเสื้อกลางคืนสีเทาๆเป็นรูปสามเหลี่ยมมันแปลก เกิดการที่เราไปทดลอง ทดสอบ ส่งเสริม ข้าวอายุ 7 วัน 15 วัน กำลังโผล่พ้นน้ำ หล่อน้ำนิดๆ ฉีดพวกหนอนกินใบ ซึ่งมันจะมาจากแม่ผีเสื้อกลางคืน เดินฉีดไปแพ้กลิ่นพวกขมิ้นชัน ไพร เราก็มาผสมพวกขมิ้นชัน ไพร ฟ้าทลายโจร มันก็ดูแลรักษาได้ แล้วยิ่งเจอกับเทคโนโลยีชีวภาพเข้าไปด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมไม่ได้บอกว่ามันดีเด่นเลิศเลอ แต่ในระยะยาวมันทำให้ดินเราเหมือนป่าเปิดใหม่ เหมือนป่าเขาลำเนาไพรที่หล่อเลี้ยงระบบนิเวศแบบยั่งยืน ทำไมเหมือนป่าเขาลำเนาไพรเพราะป่าเขาลำเนาไพรไม่เคยมีมนุษย์คนใดไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยแม้หยดละอองเดียว ทำไมเขายังคงผลิดอกออกผล หล่อเลี้ยงธรรมชาติ สัตว์ป่านานาชนิด ให้กินดำรงชีวิตอยู่ ขออย่าให้มนุษย์เข้าไปตัดป่า ทำลายป่า ป่าก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอาชีพแบบสัมอาชีพ ไม่ทิ้งดิน ทิ้งน้ำ เป็นเรื่องสำคัญและท่านก็ค่อยลดการใช้ปุ๋ยเคมีก็ยังได้ในเมื่อดินมีอินทรีย์วัตถุเราเคยคุยกันหลายครั้งหลายรอบ ทำอินทรียวัตถุให้ได้ 5% แบบสมบูรณ์ น้ำ 25% อากาศ 25% อินทรีย์หินแร่ 45% ไม่ได้บอกให้ท่านไปพอเพียงแบบไม่มีอะไรกิน ท่านยังทำเกษตรเชิงเดี่ยวได้ ท่านต้องมีตัวช่วย ชมรมเกษตรปลอดสารพิษและบริษัทไทยกรีนอะโกร เขาเป็นทัพปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ คือท่านต้องการอะไร จะไปปลูก พืช ไร่ ไม้ผล ลองกอง ทุเรียน มังคุด ลำไย กล้วยหอม ลองคุยกับเจ้าหน้าที่ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษไทยกรีนอะโกร เขาจะตอบโจทย์ ปุ๋ยอินทรีย์เขาก็มี จุลินทรีย์ที่มีใบทะเบียนมีใบเซอร์ก็มี หรือปัจจัยการผลิตที่เป็นเคมีแต่ปลอดภัย เคมีที่ปลอดภัยไม่ใช่เป็นยาตรากระโหลกไขว้ เรามุ่งไปสู่เกษตรอินทรีย์ เกษตรแบบธรรมชาติได้    

มนตรี  บุญจรัส

ชมรมเกษตรปอลดสารพิษ www.thaigreenagro.com

Line Official: https://lin.ee/3M1NXzf
ช่อง Youtube: https://bit.ly/3o1LAhK
เพจ Facebook: Thai Green Agro
Call Center: 084-5554205-9
ฝ่ายวิชาการ : 02-9861680-2
ไอดีไลน์: tga001-tga004
เว็บไซต์: www.thaigreenagro.com
#ไทยกรีนอะโกร

×