วันนี้เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของวัสดุปูนที่ชื่อว่า
หินฟอสเฟต หรือหลายคนเรียกว่าร็อคฟอสเฟต
ซึ่งก็มีคุณสมบัติเป็นกลุ่มวัสดุปูนที่ส่วนใหญ่แล้วเอามาไว้แก้ดินเปรี้ยว ตัวฟอสเฟตได้รับความนิยมแพร่หลายมาค่อนข้างที่จะยาวนาน
มีการใช้หินฟอสเฟตมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ก็ว่าได้
ใช้ควบคู่กันมากับพวกโดโลไมท์ โดโลไมท์เป็นปูนชนิดหนึ่งที่แก้ดินเปรี้ยวได้
แต่ฟอสเฟตที่เราจะคุยกันในวันนี้ ฟอสเฟตเขาจะเป็นปูนที่มีองค์ประกอบของแร่ธาตุฟอสฟอรัส
ความจริงแล้วฟอสเฟตเรามักมาเรียกได้ว่าเคียงคู่กับตัวพวกปูนมาน ปูนเปลือกหอย
ขี้เลื่อย หินอ่อน หินปูนบดอะไรต่างๆ ใช้กันมานาน
อันนี้เราจะมาดูแล้วถ้าใช้ไปเรื่อยๆมันจะมีผลดีและผลเสียอย่างไร ซึ่งเราจะมาคุยกัน
เพื่อนๆที่เข้ามาฟังถ้าสงสัยมีข้อสอบถามก็สามารถที่จะพิมส่งเข้ามาได้
ฟอสเฟตที่บอกว่าเป็นกลุ่มวัสดุปูนเหมือนโดโลไมท์
ปูนขาว ปูนมาน ปูนเปลือกหอย หินปูนบด ขี้เลื่อย หินอ่อน ขี้เถ้าแกลบ
คือเขามีความเป็นด่าง องค์ประกอบของเขาประกอบด้วยตัวแคลเซียมกับตัวฟอสฟอรัส
แคลเซียมดังที่เรียนให้ทราบเหมือนกันปูนมาน ปูนเปลือกหอย ปูนขาว แต่ตัวที่แตกต่างของฟอสเฟตกับโดโลไมท์คือฟอสเฟตมีฟอสฟอรัสหรือเรียกว่าโครงสร้าง
P2O5
แต่ถ้าเป็นโดโลไมท์ตัวที่เหมือนกับแคลเซียม ตัวที่แตกต่างคือ
แมกนีเซียม คาร์โบเนต ตรงนี้การทำงานจะแตกต่างกัน ฟอสเฟต ปู่ ย่า ตา ยาย
จะใช้ในเรื่องของการรองก้นหลุม
เขาใช้ตัวฟอสเฟตรองก้นหลุมเพื่อนๆรู้ไหมครับว่าเพื่ออะไร
เขามีเป้าหมายชัดเจนแม้กระทั่งหน่วยงาน รัฐบาล เวลามีงานประมูล จัดซื้อ จัดจ้าง
ก็จะล็อคสเป็คฟอสเฟตไว้เลยว่าเพื่อกระตุ้นให้เกิดราก
แต่วิถีการใช้ตัวฟอสเฟตหรือร๊อคฟอสเฟต พฤติกรรมการใช้ของคนสมัยโบราณเขาใช้แค่นิดเดียว
1 ช้อนแกง 2 ช้อนแกง รองก้นหลุม ร่วมกับพวกปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์
รองเพื่อกระตุ้นช่วยให้ราก ต้นกล้า ต้นเล็กๆ ได้รับฟอสฟอรัส
ความจริงแล้วเป็นฟอสเฟตที่ไม่ได้ละลายเยอะแยะอะไรมากมาย
เขาใช้ตัวฟอสเฟตเพื่อทำหน้าที่โดยตรงในเรื่องของการขยายรากมากกว่าการใช้แคลเซียมจากฟอสเฟต
ฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟตเป็นแร่ธาตุตัวกลาง เป็นธาตุอาหารหลัก ฟอสฟอรัสในพื้นที่ที่นา
ดินเหนียว ภาคกลาง
สามารถที่จะขุดดินในแปลงนาแล้วก็เอาไปใส่เป็นปุ๋ยฟอสฟอรัสภาคอีสานยังได้ เพราะว่า
มีปริมาณฟอสเฟตหรือฟอสฟอรัสในปริมาณค่อนข้างสูง ท่านอ.ดีพร้อม
ไชยวงศ์เกียรติเคยบอกว่าถ้าอยากได้ฟอสฟอรัสก็ไปขุดพื้นที่นาดินเหนียวภาคกลางเอามาใส่ก็ได้ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารหลักตัวกลางที่สะสมอยู่ในดินเยอะ
สูญเสียยาก ละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชได้น้อยบางทีเราเอาดินไปตรวจ ไปให้ที่กรมพัฒนาที่ดิน
ไปให้ที่กองปฐพีวิทยา ไปให้หน่วยงานที่วิเคราะห์ดิน
ตรวจก็เขาจะมีตัวองค์รวมหรือปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมดที่เรียกว่า Total P ดินของเรามีฟอสฟอรัสเยอะแยะมากมาย Total P หรือ
ฟอสฟอรัส หรือตัว P ทั้งหมด ตรวจจะเยอะมาก แต่ต้องสังเกต P
ที่เป็นประโยชน์หรือ นำไปใช้งานได้ ต้องดูว่ามีปริมาณเท่าใด ตัว P
หรือฟอสฟอรัส
ไม่ได้ใช้งานในพืชมากมายเหมือนตัวไนโตรเจนหรือโพแทสเซียม
พูดแล้วรู้ได้อย่างไรว่าใช้ไม่ได้มาก เพื่อนๆสามารถไปดูสูตรการปลูกพืชไร้ดิน
พวกไฮโดรโปนิกส์ หรือการทำสูตรอาหารเลี้ยงเชื้อต่างๆ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จะมีสูตรของตัว P หรือ ฟอสฟอรัส แค่ 1 ratio ต่อตัวอื่นๆ เช่น 3-1-4 3 ตัวแรกเป็นตัวไนโตรเจน 1 คือ P หรือฟอสฟอรัส K คือโพแทสเซียม หรือ 4-1-3 , 4-1-2 เพราะฉะนั้น P จะใช้นิดเดียว เราอยากจะได้ฟอสฟอรัสในราคาถูกไม่ยอมไปซื้อปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงเขาให้รองก้นหลุมแบบปู่
ย่า ตา ยาย แบบนิดๆหน่อยๆ เราใส่ทีหนึ่งเป็น 100 กิโลกรัม เป็น 1000 กิโลกรัม
เป็นตันๆ มันจะไปทำลายโครงสร้างทางเคมีของดิน ถ้าดินของเรานั้นมีค่า pH ที่สวยงามดีอยู่แล้ว ค่า pH ที่สวยงามดีอยู่แล้วก็คือค่าอยู่ระหว่าง
5.8-6.3 คือต้องเป็นตัวกรดเล็กน้อยไม่ใช่เป็นกรดปานกลาง กรดจัด กรดมากเกินไป ตัวฟอสเฟตในเมื่อมันเป็นกลุ่มวัสดุปูน
เป็นด่าง ใช้รองก้นหลุม ทำหน้าที่แทนปุ๋ยได้แค่ 1 ถึง 2
ช้อนแกงจะช่วยให้ต้นกล้าได้รับแคลเซียมไปพร้อมกับพวกปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยเคมีต่างๆ สูตรเสมอ หรือ 16-0-0 และได้ฟอสฟอรัสด้วย แต่เนื่องด้วยว่า ค่า pH
หรือค่าความเป็นด่างเขาสูงประมาณ 10 ขึ้นไป
ถ้าใส่เยอะจะไปสะสมความเป็นด่าง ไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีให้ดินมันเป็นด่าง
พอดินเป็นด่างเพื่อนๆจะปวดหัวกับเรื่องการแก้ดินด่างอีก
ซึ่งเอากันจริงๆคือแก้ยากกว่าดินเปรี้ยวอีก เพราะต้องใช้ภูไมท์ซัลเฟตถุงสีแดง
ใช้ยิปซั่ม ใช้ฮิวมิก ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เป็นกรด
เขาจะย่อยสลายออแกนิกส์แอซิด ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์เหมือนพวกน้ำส้มควันไม้
แต่มันจะให้ลงมาทีละสเต็ปๆ พอดินเราขึ้นเป็น 7 , 8 , 9 7
จะเป็นกลาง มากกว่า 7 จะเป็นด่าง
ดินที่มันเป็นด่างจัดหรือกรดจัดมันจะจับตรึงปุ๋ยล็อคปุ๋ยไว้ในดิน
ใส่ปุ๋ยอะไรไปก็ไม่งาม ไม่เจริญเติบโต
ใส่ปุ๋ยไปก็เฉยเหมือนไม่ตอบสนองเรียกว่าไม่หือไม่อือ
เพราะฉะนั้นอย่าให้ดินเป็นด่างเกินไป หรือตรวจวัดกรดด่างของดินให้ดีเสียก่อน
ก่อนที่จะไปเติมปูนเปลือกหอย ปูนเผา ปูนขาว ปูนมาน ต้องดูดินก่อน
และที่เราจะใช้ฟอสเฟตเยอะๆในปริมาณเป็น 100 เป็น 1000 กิโลกรัม ต้องตรวจวัด pH ควรจะต้องต่ำกว่า 5.8 ลงไป
คือจะเป็นกลางแต่ช่วงที่เป็นกรดเล็กน้อยหรือกรดอ่อนๆ คือค่าจะอยู่ระหว่าง 5.8-6.3
เคิฟนี้คือเคิฟที่ดินเป็นเพื่อนกับจุลินทรีย์ เป็นเพื่อนกับอาหาร
สสารต่างๆที่เติมมา เวลาเราเติมปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 ,
16-16-16 หรือปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 , 21-0-0 เวลารดน้ำหรือฝนตกเขาก็จะละลายกับความเป็นกรดเล็กน้อยที่
5.8-6.3 รากพืชก็จะดูดกินได้โดยง่ายเพราะลำไส้ของพืช ท่อน้ำ
ท่ออาหารก็สามารถลำเลียงพวกสารอาหารเหล่านี้อยู่ในรูปกรดอ่อนเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นว่าเวลาเราเอาน้ำในท้องร่องที่สวนส้มรังสิตหรือสวนส้มแถวนครสวรรค์สมัยก่อนใส่ปูนที่หลวงแจกกันมาเยอะๆ
เวลาฝนตกชะปูนบนสันร่องลงมาท้องร่อง เวลาคนงานจ้วงเอาน้ำมาฉีดพ่น
น้ำเป็นด่างตัวยาในท้องตลาดส่วนใหญ่จะเป็นกรดสังเกตได้จากชื่อที่ลงท้ายด้วยแอซิด
กรดกับด่างรวมกันมาเจอกันเหมือนแม่เหล็กคนละขั้ว จะทำลายลิสต์กัน
ทำลายประจุได้กลัวและน้ำเปล่า ฉีดแล้วไม่ได้ผลจึงทำให้ชาวไร่ ชาวนา
ชาวสวนต้องแถมใช้ 2 อย่าง เช่นเดียวกัน ถ้าดินไม่เป็นกรดอ่อนๆ
พอไปเติมปุ๋ยมันก็ถูกขับไล่ ถูกล็อค ถูกตรึง
เพราะฉะนั้นจะใส่ปูนฟอสเฟตจะต้องวัดค่า pH ควรจะต่ำตั้งแต่ 4
, 3 , 2 แล้วจึงใช้ตัวฟอสเฟต
แต่ถ้าใช้กระตุ้นการเจริญเติบโตและขยายรากก็ใช้แค่ 1 หรือ 2 ช้อนแกง
ค่อยๆใส่แบบบางๆ ใส่น้อยๆ รองก้นหลุมหรือหว่านกระจายรอบทรงพุ่ม
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปอลดสารพิษ www.thaigreenagro.com
