0

Your Cart

No products in the cart.
THAIGREENAGRO | ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
[agrikon_wc_ajax_search]

จุลินทรีย์หน่อกล้วยช่วยเกษตรกรไทย

วันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องจุลินทรีย์หน่อกล้วย คาดว่าในแวดวงการเกษตรคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักจุลินทรีย์หน่อกล้วยที่คิดค้นโดยท่าน อ.สุวัฒน์ ทรัพยะประภา ที่ได้ทราบมาก็ตอนนั้นก็เป็นโรงเรียนชาวนาที่ผมได้รู้จักกับจุลินทรีย์หน่อกล้วยของท่านอาจารย์ วันนี้เราจะมาพูดคุยกันในประเด็นที่ว่าจุลินทรีย์หน่อกล้วยช่วยเกษตรกรไทยหรือว่ามีประโยชน์ในภาคการเกษตรของไทยเราในแง่ใดบ้าง ได้มาคุยกัน

                พี่น้องที่ปลูกข้าว จุลินทรีย์หน่อกล้วยถือว่าช่วยลดต้นทุนในการใช้จุลินทรีย์จากต่างประเทศได้ดีมาก จุลินทรีย์หน่อกล้วยนอกจากจะได้จุลินทรีย์ที่ย่อยแล้วยังได้ความฝาด เรียกว่าสารแทนนินจากตัวกล้วยด้วย สารแทนนินตัวนี้ทำให้เมล็ดข้าวแดงข้าวดีดอะไรต่างๆ ถูกยางหรือถูกฟิล์มของกล้วยหรือความฝาดของกล้วยทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกด้อยลง ปลายปีนี้ ชาวไร่ชาวนาเกษตรกรของเราประมาณ 3.7 ล้านครอบครัว หรือมีประมาณ 15 ล้านคนจาก 70 ล้านคน อาชีพเกษตรที่ลงทะเบียนหรืออะไรต่างๆก็ถือว่าลดลงถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่เรียกว่ากระดูกสันหลังของชาติ แต่เปอร์เซ็นต์ที่ลดลงก็ใช่ว่าจะมีความแข็งแรงแข็งแกร่งในเรื่องของราคา เรื่องของความร่ำรวย ความมั่งคั่ง สิ้นปีนี้ถ้าข้าวยังอยู่ที่ 7-8 บาท ข้าวหอม 8 บาท ข้าวเปลือกทั่วไป ข้าวหอมทั่วไป ไม่ถึง 10 บาทนี่ก็อยู่กันลำบากทีเดียว สิ่งที่เราจะไม่ต้องบ่นมากก็คือการช่วยเหลือตนเอง การทำนาถ้าเราซื้อจุลินทรีย์จากญี่ปุ่น จะเป็นจุลินทรีย์อีเอ็ม จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จุลินทรีย์ตัวนั้นตัวนี้ จุลินทรีย์พ.ด.ต่างๆ คือบางทีเขาก็บอกว่าแจก บางทีเขาก็บอกว่าฟรี แต่พอเอาเข้าจริงๆคนทำสวนทำนา 10-20 ไร่ไปแจกได้แค่ 3 ซอง 5 ซอง ไม่พอ สุดท้ายก็ต้องไปซื้ออันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงที่รับรู้รับทราบ แต่ในปัจจุบันไม่แน่ใจว่าต้องซื้อไหม อีเอ็มตกลิตรละ 98 บาท ที่พูดแบบนี้ไม่ได้บอกว่าจุลินทรีย์อีเอ็มไม่ดี คือจะบอกว่าถ้าใครมีทางเลือกใช้จุลินทรีย์ไทย จุลินทรีย์หน่อกล้วย ตัวนี้จะเมื่อผลิตได้ด้วยลำแข้งของตนเอง เราไม่ต้องไปหาซื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายใดๆอีกเลย จุลินทรีย์หน่อกล้วยสามารถที่จะย่อยสลายพวกตอซังฟางข้าวปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกเรียกว่าเป็นอเนกประสงค์ ถ้าจะร่วมกับพวกจุลินทรีย์สัตว์เคี้ยวเอื้องก็ยิ่งดีหรือจะร่วมกับไตรโคเดอร์มา หรือบีเอส ไตรโคเดอร์มาเป็นจุลินทรีย์ที่ย่อยและก็ปรามโรคให้เราด้วย จุลินทรีย์หน่อกล้วยเขาหมักกับกากน้ำตาลแบบชาวบ้าน หมักแบบง่ายๆ ผมรู้จักกับจุลินทรีย์หน่อกล้วย คือตอนนั้นท่าน เมื่อก่อนนี้ท่านอ.สันทัด ปัจจุบันท่านบวชไม่สึกมานานพอสมควรแล้วแถวอยุธยา ซึ่งเป็น ผอ. โรงเรียนชาวนา ที่ท่านอ.สุวัฒน์ได้ร่วมกันเปิดที่สวนส้มพวงฉัตร ตรงนั้นมีการรณรงค์ส่งเสริม ประมาณปี 2547  ตอนนั้นเปิดรงเรียนกันในสวนส้มของพี่เสรี กล่ำน้อย หรือ อ.เสรี ตอนนั้นผมได้มีโอกาสในการร่วมสังเกตการณ์เกือบทุกสัปดาห์ไปดูและได้ไปฟังและได้พาท่านอ.ดีพร้อม ไปบรรยายเรื่องของการปลูกป่า ปลูกเห็ด ณ ที่นั้นก็คือเหมือนปลูกเห็ดในสวนส้มให้กับเป็นองค์ความรู้เสริมเข้าไป ในบรรยากาศของโรงเรียนก็จะให้นักเรียนหรือเกษตรกรมืออาชีพเอาข้าวมากินกันเองแล้วก็ให้เตรียมหน่อกล้วยมา ถ้าเป็นวันที่สอนเรื่องการทำจุลินทรีย์หน่อกล้วยก็จะเอาหน่อกล้วยมาก็ทำให้รู้จักแล้วผมก็เอามาปรับประยุกต์ใช้ ในกลุ่มเกษตรกรโรงเรียนชาวนารุ่นแรก รุ่นนั้นก็ได้ ติดตามพูดคุย มีการแลกเปลี่ยนจุลินทรีย์ มีการแบ่งซื้อกัน ชาวบ้านทำกันเองแล้วก็แบ่ง ผมก็เอามาใช้ที่สวนมะม่วงด้วย แล้วก็มาใช้ในการทำนาปลูกข้าวด้วยที่เป็นแปลงทดสอบทางวิชาการของเรา การใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย เราจะใช้หน่อกล้วยขันหมาก หน่อกล้วยที่สูงประมาณไม่เกินเมตร และบริเวณระบบนิเวศตรงโคนต้องดี ถามว่าทำไมต้องดีก็เราไปเอาหน่อกล้วยที่ผอมแห้ง เป็นจุด เป็นดอก เป็นดวง เป็นด่าง เป็นดำ มันบ่งบอกว่าหน่อกล้วยตรงนั้นสุขภาพไม่ดี ไม่แข็งแรงเราจะทำมาเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ มันก็จะได้จุลินทรีย์ที่เลวๆ จุลินทรีย์ที่ไม่ได้ มาก๊อปปี้ มาโคลนนิ่งต่อแบบเอาเชื้อโรคไป เหมือนเอาฆาตกรแบบต่อเนื่อง มองไปต้องให้เด่นเลยว่าอวบอ้วน ขาวนวลสูงประมาณเมตรหนึ่งหรือเมตรนิดหน่อย ไม่ควรเกินเมตร เพราะว่าตรงนี้ระบบปรชากรของจุลินทรีย์ในการหล่อเลี้ยงดินทำให้หน่ออวบอ้วน สมบูรณ์ได้ แสดงว่ามันต้องมีนัยยะบางอย่าง แล้วก็ทำไมต้องเป็นกล้วย กล้วยมันเกิดขึ้นได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยนั่นเอง ความจริงแล้วเราจะใช้จุลินทรีย์ขุยไผ่ก็ได้ จุลินทรีย์ตอซังฟางข้าวก็ได้ที่มันปลอดโรค หรือจุลินทรีย์จากป่าดิบ ป่าสมบูรณ์ก็ได้ ในนั้นก็จะมีจุลินทรีย์อเนกประสงค์เยอะแยะมากมาย แต่เราเลือกเอาจุลินทรีย์ที่โดดเด่น อวบอ้วน ขาวนวล สมบูรณ์ ขุดให้มีดินติดปนที่รากเหง้ามา 3-5 ช้อนแกง โดยประมาณ ตรงนั้นสำคัญตรงเง้ามัน อย่าไปเอาต้นกล้วยที่มันมีหนอนหรือรากเน่าโคนเน่าตายพรายมานะครับ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเลี้ยงเชื้อโรคไปใส่ในแปลงนาเรา วัตถุประสงค์ของจุลินทรีย์หน่อกล้วย คือผลิตจุลินทรีย์ด้วยลำแข้งของตนเอง ไม่ต้องซื้อจุลินทรีย์ที่หมักกับกากน้ำตาลทั้งหลายไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็ตาม สมมุติมันลิตรละ 100 บาท หรือ 90 กว่าบาท ถ้าเพื่อนๆใช้ในการย่อยสลายตอซังฟางข้าว 10 ลิตรต่อไร่ ก็ประหยัดไปได้เยอะ ตัวเลขลิตรละ 98 บาท ตีไปกลมๆลิตรละ 100  10 ลิตรก็ 1,000 ถ้าเราหมักด้วยลำแข้ง แล้วชาตินี้ทั้งชาติก็ตื่นขึ้นมาลืมตาและยังมีต้นกล้วย หน่อกล้วย ก็ผลิตจุลินทรีย์ได้ตลอดชีวิตมาโดยไม่ต้องซื้อ วิธีการหมักก็ขุดเหง้าติดดินมา 3-5 ช้อนแกง หน่อกล้วยสูงไม่เกินเมตร และนำเอามาไม่ต้องล้าง สับ โขก บด ตำ ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และใส่ในภาชนะที่ครอบคลุม ไม่ใช่กล้วย 1 หน่อ แต่เทียบให้เป็น 3 ต่อ 1 คือหน่อกล้วยให้ได้ 3 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน ถ้ามันเป็น 6 โล ก็ต้องกากน้ำตาล 2 โล 9 โล ก็ต้องเป็นกากน้ำตาล 3 โล วิธีการก็ไม่ต้องใช้น้ำเพราะว่ากล้วยเขาเป็นพืชอวบน้ำอยู่แล้วแต่ใครจะใส่ หรือมันแห้งเกินไปหรือมีความเร่งรีบก็เติมได้ หมักไว้เดือนหนึ่งกว่ากล้วยจะย่อยหมด กว่าจุลินทรีย์จะโตเราจะได้จุลินทรีย์ถิ่นเราเอง ท่านอยู่จังหวัดอ่างทอง ก็เป็นจุลินทรีย์อ่างทอง ลงแปลงนาอ่างทอง ท่านอยู่อุบลราชธานี ท่านได้หน่อกล้วยถิ่นอุบลราชธานี ถ้ากหน่อกล้วยชุมพรก็ได้เลี้ยงจุลินทรีย์ ขยายจุลินทรีย์ชุมพร จุลินทรีย์เชียงใหม่ลงสู่แปลงเกษตรกรของเชียงใหม่ ถิ่นใครก็ถิ่นมันดังที่ผมได้เคยพูดคุยถึงบทความโดดเด่น หรือความแข็งแกร่งของจุลินทรีย์ท้องถิ่นใคร ท้องถิ่นมัน เพียงเท่านี้เราสามารถที่จะได้จุลินทรีย์โดยพี่น้องหรือเพื่อนๆเชื่อได้เลยว่าไม่ต้องใช้จุลินทรีย์ยี่ห้ออื่น จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จุลินทรีย์อีเอ็ม จุลินทรีย์อะไรต่างๆ เราต้องรู้ว่ายุคสมัยปู่ ย่า ตา ยายเรามาไม่มีจุลินทรีย์พวกที่เอ่ยไปทั้งหมดทำไมตอซังฟางข้าว ฟอสฟอรัส ทำไมมันจึงย่อยมาได้ ก็จุลินทรีย์โบราณ จุลินทรีย์ดั้งเดิมไม่ใช่หรือครับ ยังไม่มีจุลินทรีย์เมือกนอกเมืองนาเข้ามาเลย ฟอสเฟตถึงแม้ว่ามันจะละลายยาก ยังไงมันก็มีจุลินทรีย์ที่ย่อยมันได้จากธรรมชาติของประเทศไทย แล้วกระบวนการขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก ง่ายๆ จุลินทรีย์หน่อกล้วยสามารถหมักกับพวกปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยน้ำได้ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ได้ แล้วถ้าบางคนเอขาเอาไปทำเป็นจุลินทรีย์ปรามโรค เขาก็อาจจะเอาไปผสมเหล้าขาว ผสมน้ำส้มสายชู ก็ฉีดพ่นไปที่ล้างใบ ทำลายสปอร์ ก็เรียกว่ามีคุณูประการหลายอย่าง บางคนทำจุลินทรีย์หน่อกล้วยแล้วก็อดที่จะแบ่งปันไม่ได้ ก็อยากจะขยายแบ่งเพื่อน ถ้าเราหาหน่อกล้วยยากให้ใช้สูตรขยายของจุลินทรีย์หน่อกล้วยก็คือเอาต้นกล้วยที่แก่ตกเครือแล้วก็ใช้ 60 โล ใส่กากน้ำตาลไปสัก 20 ขยายให้มันเยอะๆ แล้วก็เอาหัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วยเติมเข้าไป จะ 1 ลิตร 5 ลิตร 10 ลิตร ต้องการเชื้อทำเองไม่เสียเงินอยู่แล้ว เราก็เติมเข้าไปหัวเชื้อ เพราะว่าหน่อกล้วยแก่นั้นไม่ได้มีจุลินทรีย์ ที่ดีพียงพออาจจะเอาเฉพาะต้นมันด้วยซ้ำ ถ้าเอาเหง้าเอาอะไรมาอาจต้องดูให้ดีๆ หรือเชื้อโรคมันจะมาโตแทน เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาต้นกล้วยแก่แล้ว สับได้ทั้งต้นเลย ถ้ามีเครือแล้วยังมีงวงของเครืออยู่ก็เอามาใช้ได้หมดสับให้ละเอียดก็ได้เป็นปุ๋ย จุลินทรีย์ก็จะย่อยสรีระ ย่อยสารอาหารจากลำต้นกล้วย แต่จุลินทรีย์เองไม่ใช่ปุ๋ย จุลินทรีย์ต้องบวกกับอินทรียวัตถุ และย่อยจนกลายเป็นปุ๋ย ถ้าย่อยพวกหัวปลีก็ได้ฮอร์โมนที่บำรุงดอก ถ้าย่อยพวกแกนกล้วย ปุ๋ยตัวออ่นก็มีได้จุลินทรีย์ไปย่อย แต่ถ้าท่านเอาจุลินทรีย์ไม่ว่าจะเป็นบีเอส ไตรโค หน่อกล้วย จุลินทรีย์ขี้ควาย จุลินทรีย์อีเอ็ม จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จุลินทรีย์อะไรเยอะแยะ ไปใส่ปลูกต้นไม้ในทะเลทราย ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะจุลินทรีย์เหล่านี้ไปย่อยสลายทรายให้มาเป็นปุ๋ยไม่ได้ หลายคนไม่เข้าใจคิดว่าจุลินทรีย์คือปุ๋ย จุลินทรีย์ไม่ใช่ปุ๋ย จุลินทรีย์คือตัวที่ทำให้ระบบนิเวศเกิดความสมดุล ถ้าท่านปลูกไปแล้วท่านไม่เติมอินทรีย์วัตถุใส่แต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว จุลินทรีย์มันก็ไม่มีอะไรกิน ปลูกไปครั้งแรกใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก รองก้นหลุม แต่ปลูกมะนาวไป 6-7 เดือน เริ่มขี้เกียจแล้ว เริ่มไม่ดู ดินมันก็แห้งแข็ง จุลินทรีย์มันก็ตาย เปลี่ยนแปลงร่างไปเป็นสปอร์ เข้าสปอร์จำศิลรอดินดำน้ำชุ่ม รอปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก รอพีทมอส รออะไรเข้ามาแล้วมันจึงจะมาโตใหม่ เพราะฉะนั้นดินที่ใส่แต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวจึงแน่นแข็ง เพราะว่าจุลินทรีย์ไม่ทำงานหรือพืชที่ปลูกในไม้กระถาง ปลูกไปแล้วเวลารดน้ำ หรือพืชที่ปลูกในไม้กระถาง ปลูกไปแล้วเวลารดน้ำ น้ำมันชะเอาอินทรียวัตถุในกระถางลงไปทางก้นกระถาง อินทรียวัตถุน้อยดินก็แข็ง จุลินทรีย์มันก็ไม่มีอาหารกิน ดินก็จะแน่นได้ เพราะฉะนั้นจากจะใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย ให้เป็นดินดำน้ำชุ่มต้องหมั่นเติมปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ หมั่นพรมวันละเล็กวันละน้อย การทำเกษตรก็คือเหมือนศิลปะ ต้องหมั่นพินิจพิจารณา หมั่นดูดิน หมั่นเติม หมั่นใส่จุลินทรีย์ จุดเด่นของจุลินทรีย์หน่อกล้วยถ้าเอาไปทำนา เมื่อกี้บอกแล้วว่าข้าวจะถูก ก็จะได้ลดต้นทุนในการซื้อปุ๋ยถ้าใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย เวลาเกี่ยวข้าวเสร็จ สูตรของโรงเรียนชาวนากระจายฟางหน้าตอซังให้เรียบ ใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วยหน้าท่อระบายน้ำไป 5 ลิตรต่อไร่ แต่เบื้องต้นจะล่อข้าวแดงข้าวดีดก็ไปดูคลิปก่อนๆ ครั้งแรกถ้าหล่อน้ำ 3 เซน ฉีดฮอร์โมนไข่ ฉีดจุลธาตุ ฉีดซิลิโคเทรซ ฉีดอะมิโน ถ้าจะบำรุง ไคโตซานให้ข้าวแดงข้าวดีด ให้หญ้ามันงอกเป็นปากนกกระจิบ ก็เอาจุลินทรีย์หน่อกล้วยใส่ ประมาณอีก 4 วัน รวมเป็น 7 วัน ใส่ให้ท่วมเพื่อย่อยตอซังฟางข้าว แล้วก็ให้ยางของหน่อกล้วยให้ความฝาดของหน่อกล้วยไปปิดเคลือบ ไปหุ้มเมล็ดข้าวแดงข้าวดีดที่มันกลบฝังอยู่ในเลน อยู่ในพื้น แล้วหมักต่อไปอีก 7 วัน แล้วก็ใช้รถอีขุบหรือรถแทรคเตอร์ย่ำ วันที่ย่ำนี่ก็ถ้าไม่อยากจะใช้คนฉีดจุลินทรีย์หน่อกล้วย หรือไม่มีน้ำมาปล่อยก็รถอีขุบ รถอีแต๊ค รถแท๊คเตอร์ ไป 5 ลิตร รวมเป็น 10 ลิตร ตอซังฟางข้าวที่จุลินทรีย์หน่อกล้วยเราจะได้ปุ๋ยยูเรีย 1 ลูก 0-0-60 1 ลูก โดยไม่ต้องซื้อ ประหยัดค่าจุลินทรีย์ไป 1,000 ประหยัดปุ๋ยไปอีก 2 ลูก ประหยัดยังไง

 

มนตรี  บุญจรัส

 

ชมรมเกษตรปอลดสารพิษ www.thaigreenagro.com

×